หลักการใช้ Past Simple Tense ทั้งบอกเล่า ปฏิเสธ และคำถาม

Past Simple Tense

Past Simple Tense = Subject + Verb2

            อย่างที่รู้กันอยู่แล้ว past tense นั้น ต้องเป็นการบอกเล่าเรื่องราวในอดีต ดังนั้น verb ที่ใช้ก็ต้องเป็นverb ช่องที่ 2 (V2) หรือ verb ที่เติม ed ซึ่งทั้งนี้การ เติม ed ก็มีกฎอยู่ว่า

                        Verb ใดที่ลงท้ายด้วย y ถ้าหน้าเป็น a, e, I, o, u ให้ ed ได้เลย

                                    เช่น play (เล่น) >>>> played (เล่นในอดีต)

                        แต่ถ้าหน้า y ไม่ใช่ a, e, I, o, u ให้ เปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม ed

                                    เช่น fly (บิน) >>>>> flied (บินในอดีต)

                        นอกเหนือจากนี้ก็สามารถเติม ed ต่อท้ายคำกริยาได้ตามปกติ

                                    เช่น walk (เดิน) >>>> walked (เดินในอดีต)

                        แต่ก็มีกริยาจำนวนไม่น้อยที่ไม่เติม ed แต่เปลี่ยนรูป

Present (V1) Past (V2) Past participle (V3)
eat ate eaten
get got got/gotten
go went gone
know knew known

และยังกริยาบางคำที่ไม่เปลี่ยนรูปเลย

Present (V1) Past (V2) Past participle (V3)
cut cut cut
let let let
set set set
hit hit hit

                        ที่ยกมาให้ดูเป็นเพียงแค่ตัวอย่างเราต้องศึกษาเพิ่มเติมนะคะ

1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่จบลงในอดีตมักพบคำหรือวลีที่บ่งบอกเวลา เช่น yesterday, last, ago เป็นต้น

I was a doctor. (ฉันเคยเป็นหมอ)

I visited my mom yesterday. (ฉันไปเยี่ยมแม่เมื่อวานนี้)

He always drove a car to work. (เมื่อก่อนเขามักจะขับรถไปทำงานเสมอ)

การเปลี่ยนให้เป็นประโยคปฏิเสธ

            Tense จะคล้ายกับ present simple คือ มีการนำเอา verb to do มาช่วยให้เป็นปฏิเสธ แต่ต่างกันตรงที่เราจะใช้ verb to do ในช่องที่ 2 แทน โดยที่ verb to do(V2) + not

Verb to do
Present (V1) Past (V2) Past participle (V3)
do/does did done

ประโยคบอกเล่า I visited my mom yesterday. (ฉันไปเยี่ยมแม่เมื่อวานนี้)

ประโยคปฏิเสธ I did not visit my mom yesterday. (ฉันไม่ได้ไปเยี่ยมแม่เมื่อวานนี้) จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่าในรูปของประโยคปฏิเสธนั้น visited กลับมาเป็น visit ทั้งนี้เพราะว่ามีคำที่แสดงความเป็นอดีตอยู่แล้วคือ did นั้นเอง จึงไม่จำเป็นที่ visit จะอยู่ในรูปอดีตอีก ซึ่งในภาษาอังกฤษนั้นเราจะไม่ใช่ อดีตซ้อนอดีต นะคะ

และถ้าในประโยคนั้นมี verb to be อยู่แล้วให้ใช้ verb to be ทำเป็นประโยคปฏิเสธได้เลยโดยที่ verb to be(V2) + not

Verb to be
Present (V1) Past (V2) Past participle (V3)
Is, am, are was, were been

            ประโยคบอกเล่า I was a doctor. (ฉันเคยเป็นหมอ)

            ประโยคปฏิเสธ I wasn’t a doctor. (ฉันไม่เคยเป็นหมอ)

การเปลี่ยนให้เป็นประโยคคำถาม

            เราจะนำเอา verb to do มาช่วยเหมือนเดิม แต่หากประโยคไหนที่มี verb to be อยู่ในประโยคก็ให้ใช้ verb to be ได้เลย โดยที่เราจะนำ verb to do(V2)/ verb to be(V2) + ประธาน + verb หลัก หรือที่เรียกกันว่า main verb

            ประโยคบอกเล่า I visited my mom yesterday. (ฉันไปเยี่ยมแม่เมื่อวานนี้)

ประโยคปฏิเสธ I did not visit my mom yesterday. (ฉันไม่ได้ไปเยี่ยมแม่เมื่อวานนี้)

ประโยคคำถาม Did you visit your mom yesterday?

(เธอไปเยี่ยมแม่ของเธอมาเมื่อวานนี้ใช่มั้ย)

            ตอบ Yes, I did.(ใช่ฉันไป) หรือ No, I didn’t. (ไม่ฉันไม่ได้ไป)

ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ Didn’t you visit your mom yesterday?

(เธอไม่ได้ไปเยี่ยมแม่ของเธอมาเมื่อวานนี้ใช่มั้ย)

            ตอบ Yes, I did.(ใช่ฉันไป) หรือ No, I didn’t. (ไม่ฉันไม่ได้ไป)

            ประโยคบอกเล่า I was a doctor. (ฉันเคยเป็นหมอ)

            ประโยคปฏิเสธ I wasn’t a doctor. (ฉันไม่เคยเป็นหมอ)

            ประโยคคำถาม Was you a doctor? (คุณเคยเป็นหมอใช่มั้ย)

                        ตอบ Yes, I was. (ใช่ฉันเคยเป็น) หรือ No, I wasn’t. (ไม่ฉันไม่เคยเป็น)

            ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ Wasn’t you a doctor? (คุณไม่เคยเป็นหมอใช่มั้ย)

                        ตอบ Yes, I was. (ใช่ฉันเคยเป็น) หรือ No, I wasn’t. (ไม่ฉันไม่เคยเป็น)                   

อ่านเพิ่มเติม >>>